นอกจากอาชีพหลักในการเป็นคุณพ่อแล้ว ผมยังมีอีกอาชีพหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ นั่นก็คืออาชีพนักเขียนออนไลน์ หรือ “Digital Content Writer” ทั้งในนามของเอเจนซี่ที่ผมดูแล หรือในนามของนักเขียนอิสระด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งในระยะหลัง ๆ มานี้ไม่ค่อยมีคนจ้างแล้วครับ เพราะน้อง ๆ นักเขียนเก่ง ๆ เยอะขึ้นมาก แล้วเนื้อหาด้านการตลาดออนไลน์ในบ้านเราก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ ทำให้มี resource ให้นักเขียนเลือกใช้ได้เยอะขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องดีของวงการนะ เพราะหลาย ๆ แบรนด์ก็เข้ามาให้ความสำคัญกับงานด้านนี้มากขึ้น
งานส่วนใหญ่ของผมที่เกี่ยวข้องกับนักเขียนออนไลน์ในปัจจุบันจึงออกมาในลักษณะของ “Content Strategist” ที่เข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์กับลูกค้า ดูแลเนื้อหาและทิศทางของคอนเทนต์ให้กับลูกค้าเป็นหลัก
Tae
ซึ่งปัจจุบันนั้น content marketing ค่อนข้างได้รับความนิยมและหลาย ๆ แบรนด์เริ่มลงทุนกับ “Value Content” มากยิ่งขึ้น ถ้าพูดถึงเฉพาะงานเขียน งานหลัก ๆ ที่ผมต้องคอยดูแลนั้นก็คือ การคุมทีมงานนักเขียน ทั้งนักเขียน in-house และนักเขียนฟรีแลนซ์ ให้สามารถส่งมอบ “Value” ให้กับผู้อ่านได้ตามโจทย์หรือกลยุทธ์ที่เราทำงานร่วมกับลูกค้านั่นเอง
เนื้อหาในบทความนี้ เลยจะออกมาในแนวแบ่งปันประสบการณ์ มาแชร์ว่าในนามของเอเจนซี่เองที่ดูแลนักเขียนออนไลน์นั้น มี skill อะไรบ้างที่เอเจนซี่ รับทำ SEO ให้ความสนใจ และมีอะไรบ้างที่นักเขียนเองสามารถนำไปพัฒนาเพิ่มเติมได้ เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ตามมาอ่าน “เส้นทางอาชีพนักเขียนออนไลน์” กันได้เลยครับ
Content Writer vs. Copywriter
ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำเข้าใจกับความแตกต่างของ 2 หน้าที่ ระหว่าง content writer กับ copywriter กันก่อนเลย ในปัจจุบันหลาย ๆ เอเจนซี่แทบจะรวมร่างน้อง ๆ เข้าด้วยกันแล้ว ไม่นับถึงตำแหน่ง content marketing ที่แทบจะรวมทุก skill เข้าไว้ด้วยกัน วันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันนะ T-T แต่เรามาดูความแตกต่างระหว่าง 2 หน้าที่นี้อย่างง่าย ๆ กันครับ
เป้าหมายของการสื่อสารที่แตกต่างกัน
Copywriter จะสื่อสารเพื่อกระตุ้นยอดขาย เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ ให้กับกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อความที่ชัดเจน ตรงประเด็น พูดถึงข้อดีของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ “Sense of Urgency” จะถูกนำมาใช้ร่วมกับ CTA เสมอ แน่นอนว่าสารที่ต้องการจะสื่อออกไปนั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับยอดขาย โปรโมชั่น หรือช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งสิ้น
Content Writer จะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายด้วยเนื้อหาที่ลงในรายละเอียดมากขึ้น ไม่ได้เน้นไปที่การโฆษณาหรือปิดการขายอย่างโจ่งแจ้ง แต่สารที่ต้องการจะสื่อนั้น จะเป็นข้อมูลที่เข้ามาประกอบในการตัดสินใจ ช่วยให้การซื้อสินค้าหรือใช้บริการในอนาคตเกิดได้ง่ายขึ้น ข้อมูลที่เข้ามาช่วยตอบคำถาม ให้ความรู้ แนะนำ จะช่วยให้ธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณนั้นมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
รูปแบบของสารที่ต้องการจะสื่อจึงแตกต่างกัน
เมื่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการสื่อสารต่างกันแล้วนั้น รูปแบบของสารจึงมีความแตกต่างกันด้วย เราจะพบว่างานของ copywriter นั้นมักจะไปอยู่กับสื่อโฆษณาในแต่ละช่องทางเป็นหลัก เช่น social media, google ads หรือแม้กระทั่งสื่อ OOH เนื่องมาจากการกระตุ้นหรือการสร้างอารมณ์ร่วมให้ลูกค้า กล้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเราในยุคปัจจุบันนั้น ต้องยอมรับว่าสื่อข้างต้น อยู่รอบตัวเราและ มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก
ในขณะที่งานของ digital content writer ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในรูปแบบของบทความยาวบนเว็บไซต์ หนังสือ e-book หรือ นิตยสารออนไลน์ รูปแบบของสารที่ต้องการจะสื่อนั้นจึงลงรายละเอียดได้ลึกกว่า ทำความเข้าใจ มอบความรู้ ให้คำแนะนำ ได้ดีกว่า เนื้อหาในรูปแบบ “Evergreen Content” หรือเนื้อหาที่มีคุณค่าอยู่เสมอถึงเวลาจะผ่านไป จึงเป็นที่นิยม ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์หลักในสายงานนี้อยู่เสมอ
ในปัจจุบันตัวงานของทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ก็จะมีความผสมปนเปกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับแบรนด์หรือเอเจนซี่เองที่วางรูปแบบหรือกลยุทธ์ของคอนเทนต์อย่างไร แต่ไม่ว่าจะทำหน้าที่ใดก็ตาม หากเรารู้เป้าหมายของการสื่อสารแล้วนั้น เราจะสามารถเลือกรูปแบบในการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น
Long Form vs. Short Form Content
การสร้าง “Content Strategy” ขึ้นมาเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของแบรนด์ นั้นจะประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น หากเราสามารถนำคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่มีรูปแบบเหมาะสมกับบริบทนั้น ๆ มานำเสนอผ่านช่องทางหรือสื่อต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม แน่นอนว่า รูปแบบของสารที่อาชีพนักเขียนออนไลน์ใช้ในการสื่อออกไป มักจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ long-form และ short-form content
Short Form Content คืออะไร?
Short Form Content นั้นนอกจากจะเป็นคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาที่ย่อยหรือทำความเข้าใจได้ง่ายแล้ว ความยาวของเนื้อหาจะไม่มากเกินไปนัก มีความกระชับ โดยหัวข้อนั้นจะครอบคลุมหรือเจาะจงไปแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ได้ลงรายละเอียดที่มากจนเกินไป ตัวอย่างของ short-form content ที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน จะพบได้ใน
- social media
- infographics
- news updated blog/article
- landing page หรือ sale page
จะเห็นได้ว่าลักษณะของงานนั้นดูจะเข้ากับ copywriter มากกว่า และช่องทางข้างต้นนั้นก็ดูจะมีประสิทธิภาพสูง เมื่อถูกนำมาใช้ในการกระตุ้นความสนใจ หรือสามารถสร้าง impact ได้ทันทีจากเนื้อหาของคอนเทนต์
Long Form Content คืออะไร?
Long Form Content นั้นเป็นคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาค่อนข้างลึก มีความเจาะจง และครอบคลุมในทุก ๆ มิติของหัวข้อที่คุณต้องการจะสื่อสารออกไป เรามักจะพบเนื้อหาแบบนี้ ในบทความที่มีความยาวมากกว่า 1,200 – 1,500 คำขึ้นไป ตัวอย่างของ long-form content ที่สามารถพบได้อยู่เป็นประจำ คือ
- บทความยาวใน blog
- บทความประเภท how to, tutorial หรือ guide ต่าง ๆ
- บทความประเภท “Evergreen Content”
- eBook
- landing page ในรูปแบบ pillar content
รูปแบบคอนเทนต์แบบนี้ดูจะเป็นทางของ digital content writer มากกว่า เนื้อหาถูกนำเสนอด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ลักษณะการเข้าถึงคอนเทนต์จึงอยู่ในรูปแบบ inbound ซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นอาชีพนักเขียนออนไลน์จึงควรหาความรู้ด้าน SEO ติดตัวไว้บ้าง
แนะนำอ่านต่อ : การทำ SEO สำหรับ Content Marketing
จากตัวอย่างประเภทของคอนเทนต์ข้างต้น น่าจะทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้น และพอจะทราบถึงความแตกต่างของรูปแบบ และคุณลักษณะเฉพาะตัวของเนื้อหา ว่าในบริบทที่แตกต่างกัน ควรจะมีรูปแบบของเนื้อหาหรือคอนเทนต์เป็นอย่างไร
Content Strategist ทำงานร่วมกับ Content Writer อย่างไร?
หน้าที่หรือบทบาทของ content strategist คือ “การควบคุมและกำหนดทิศทางของคอนเทนต์ ให้เดินตามกลยุทธ์ของแบรนด์ได้” โดยที่ไม่หลุดจากกรอบนี้มากเท่าไหร่นัก ซึ่งแน่นอนว่า เค้าจะต้องเข้าใจในสารที่จะต้องการจะสื่อ และเป้าหมายในการสื่อได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงการวัดผลหรือ KPI ในงานคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเข้าใจความแตกต่างระหว่าง copywriter และ content writer เพื่อที่จะได้เลือกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และด้านล่างคือตัวอย่างของ skill ที่ content strategist ควรมี
- สามารถกำหนด content strategy ให้ตอบโจทย์กับ business goals ได้
- เข้าใจเรื่องของ target audience ได้ดี มีข้อมูลมาสนับสนุน
- เข้าใจและให้เดินตาม brand guildeline ได้เป็นอย่างดี
- มีความสามารถในการบริหาร project มีทั้งความเด็ดขาดและความยืดหยุ่น
- นอกจาก platform แล้ว SEO ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะทำได้ดี
ทั้ง 2 ฝ่ายจะทำงานร่วมกันตามกลยุทธ์ที่ถูกวางไว้ มีการพูดคุยถึงกลุ่มเป้าหมายว่าคือใคร? บุคคลิกภาพ หรือ tone of voice ของแบรนด์เป็นแบบไหน? ขอบเขตของเนื้อหาที่อยากให้มีหรือไม่มีในคอนเทนต์ หลาย ๆ ทีมมักจะเริ่มต้นคุยกันด้วย “Keyword” ว่าเน้นไปที่คำไหน อยากให้ติดอันดับด้วยคำใด ซึ่งผมไม่ได้มองว่าผิด แต่ส่วนตัวผมแล้วไม่นิยมคุยเรื่องคีย์เวิร์ดกับนักเขียนเท่าไหร่นัก ผมแค่สนใจว่างานเขียนของนักเขียน “มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านหรือไม่?”
ข้อมูลด้านล่างนี้ จึงเป็นความเห็นส่วนตัวและวิธีการทำงานของทีมผมนะครับ แต่น่าจะทำให้นักเขียนเห็นภาพได้ดียิ่งขึ้น และน่าจะมีประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้กันครับ
- เรามักจะเริ่มต้นคุยด้วยเป้าหมายใหญ่ของธุรกิจหรือเว็บไซต์เสมอ ว่ามีเป้าหมายใด? ทำไปทำไม?
- หัวข้อที่เราจะเขียนต้องมี demand มากพอในการค้นหาบน Google
- บรีฟงานเขียนในรูปแบบ “Topic Clusters” มี pillar content ที่ชัดเจน
- ให้นักเขียนโฟกัสไปที่เนื้อหา ไม่ใช่ คีย์เวิร์ด
- TOC เป็นสิ่งที่เรามองหาจากนักเขียน โดยเฉพาะคอนเทนต์แบบ long-form
อยากเริ่มต้นอาชีพนักเขียนออนไลน์ทำอย่างไรดี?
คำแนะนำนี้อาจจะไม่ใช่คำแนะนำสำหรับศิลปิน ที่ต้องการเขียนหนังสือ เขียนนิยายนะครับ แต่เป็นคำแนะนำสำหรับคนที่อยากหารายได้จากงานเขียนออนไลน์ หรืออยากใช้อาชีพนักเขียนออนไลน์เข้ามาเป็นอาชีพเสริมหรืองานอดิเรกนะครับ ดังนั้นแล้ว.. งานเขียนในลักษณะของ “Marketing Content” และ “Editorial Content” จะเป็นงานที่คุณนั้นสามารถเริ่มต้นได้ครับ
ความแตกต่างระหว่างงานเขียน 2 ประเภทนี้ก็คือ
- Marketing Content เป็นคอนเทนต์หรืองานเขียน ที่เน้นไปเพื่อการทำการตลาดไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
- Editorial Content เป็นคอนเทนต์หรืองานเขียน ที่มาจากทีมบรรณาธิการและต้องการสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ สู่สังคม
เรื่องของความแตกต่างระหว่าง 2 ประเภทงานเขียนนี้ ผมแนะนำบทความจากน้องอร Content Shifu ได้เขียนไว้อย่างละเอียดและอ่านง่ายสุด ๆ ลองเข้าไปติดตามกันได้ที่นี่ครับ : คำแนะนำ 7 ประการ สำหรับนักเขียนหน้าใหม่
เมื่อทราบถึงความแตกต่างระหว่างงานเขียน 2 ประเภทนี้แล้ว เราน่าจะเห็นภาพรวมแบบกว้าง ๆ ของงานเขียนที่เราสามารถทำได้แล้วนะครับ เนื้อหาถัดไปจากนี้… เรามาเริ่มเส้นทางการเป็นนักเขียนออนไลน์กันเลย!
เริ่มต้นจากการสำรวจความชอบของตัวเอง
นักเขียนออนไลน์หลาย ๆ คนนั้นเริ่มต้นจากการเขียนบล็อกส่วนตัว หรือถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นก็คือการเขียน “Diary” แน่นอนว่าเนื้อหาที่เขียนลงไปในไดอารี่มักจะเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ทั้งด้านดีและแย่ ที่เราอยากจะบันทึกเก็บไว้ การเขียนบอกเล่าเรื่องราวหรือประสบการณ์ในแต่ละวันที่เจอ เราอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าเนื้อหาที่เราถ่ายทอดออกไปนั้น มันเกิดมาจากความชอบหรือความสนใจส่วนตัว หรือมีความรู้สึกและทัศคติสอดแทรกลงไปในเนื้อหาเหล่านั้นอยู่เสมอ
ดั้งนั้นแล้ว นักเขียนออนไลน์มองอีกมุมหนึ่งก็คือ “นักเล่าเรื่อง” และเรื่องราวที่เราสามารถเล่าได้อย่างง่ายที่สุดเลยก็คือ เรื่องที่เราชอบ อาทิเช่น อาหารที่ชอบ สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ ภาพยนตร์หรือดนตรีที่ชอบ การเริ่มต้นงานเขียนจากความชอบส่วนตัว จึงมักจะเริ่มต้นได้ง่ายและไปได้ด้วยดี
ลงมือเขียนและเริ่มต้นสร้างผลงาน
นักเขียนทุกคนก็ย่อมมีก้าวแรกเสมอ เมื่อเรามีเรื่องที่ต้องการจะเล่าหรือถ่ายทอดแล้ว “เรายังขาดตัวกลางในการนำสารไปสื่อถึงผู้อ่าน” โชคดีมาก ๆ ที่ในปัจจุบันนั้นมีเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์เปิดโอกาสให้เราได้ใช้พื้นที่ในการเข้าไปเขียนบทความและผลงานได้ฟรี! พื้นที่เหล่านั้นเราสามารถสร้างผลงานเขียนเพื่อเก็บเป็น profolio ของเราได้อีกด้วย ตัวอย่างเว็บไซต์ที่เปิดให้เราลงผลงานได้ เช่น trueid, blockdit, sistacafe และยังรวมไปถึง bloggang และ facebook อีกด้วย
การเลือกเว็บไซต์ในการลงผลงานนั้นอาจจะต้อง match ผลงานของเราให้เข้ากับเนื้อหาของเว็บไซต์เหล่านั้นด้วย อย่างเช่น ถ้าคุณอยากเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้า การสร้างบล็อกและเขียนผลงานใน sistacafe ก็จะตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก คุณสามารถเขียนบทความลงได้หลาย ๆ เว็บไซต์ และแยกความสนใจ/เนื้อหาออกจากกัน ก็จะทำให้ portfolio ของเรานั้นชัดเจนมากขึ้น
Tips : สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ในการสร้างรายได้ในอนาคตของคุณอย่างแน่นอน นอกจากใช้เป็นพอร์ตแล้ว คุณยังสามารถรับงานเขียน guest post บทเว็บไซต์เหล่านั้นเพื่อสร้าง Backlink ไปยังเว็บไซต์ลูกค้าได้อีกด้วย (วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะ)
พัฒนาเนื้อหาและผลงานอย่างสม่ำเสมอ
จากคำแนะนำก่อนหน้านี้ การสร้างผลงานของนักเขียนจะเริ่มต้นจากการเขียนสิ่งที่เราชอบและสนใจก่อน นอกจากประสบการณ์ในการเขียนผลงานแล้ว เรานั้นยังสามารถพัฒนาความสามารถในงานเขียนให้ดียิ่งขึ้นได้ ค่อย ๆ ขยับออกมาจากเนื้อหาที่เราสนใจ มองหาหัวข้อหรือกำหนดโจทย์ใหม่ ๆ ที่ท้าทายมากขึ้น ลองเขียนบทความที่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา มีการสรุปใจความสำคัญ และ/หรือประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใกล้กับงานเขียนประเภท “Value Content” มากยิ่งขึ้นครับ
“นำการตั้งคำถามแบบ 5W2H เข้ามาเป็นไกด์ในการเขียนบทความ” เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมมักจะนำมาใช้เป็นหลักในการรีวิว/บรีฟเนื้อหาให้กับ content writer โดยเฉพาะบทความหรือเนื้อหาที่จำเป็นต่อการทำ seo การที่ผู้อ่านเข้าใจในสารที่นักเขียนต้องการจะสื่อ ถือว่าเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จในฐานะของนักเล่าเรื่องแล้วล่ะครับ
5W2H : เป็นกระบวนการตั้งคำถามแบบเป็นระบบที่ประกอบไปด้วย Who, What, Where, When, Why, How และ How Much หากเราไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกคำถามก็ไม่เป็นไรครับ เพียงแต่นำวิธีการตั้งคำถามแบบนี้สอดแทรกในเนื้อหาก็จะช่วยทำให้บทความของเรานั้นพัฒนาขึ้นได้ครับ
สร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาและปรับปรุงคุณภาพ
เมื่อเราสามารถสร้างผลงานหรืองานเขียนได้อย่างสม่ำเสมอ มีหลักหรือเป้าหมายในการสื่อสารที่ชัดเจนแล้ว เรายังสามารถปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาให้ดีมากยิ่งขึ้น อาจจะมาจากการเชื่อมโยงเนื้อหาของเราเข้าด้วยกัน เช่น หากเราเขียนบทความเรื่อง “5 Cafe ที่พาน้องหมาเข้าได้” การเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับน้องหมา อาทิ วิธีการดูแลขนสำหรับสุนัขพันธ์เล็ก แล้วเชื่อมโยง 2 บทความนี้เข้าหากัน จะช่วยทำให้ภาพรวมของคุณภาพเนื้อหานั้นดีขึ้น ทำให้ portfolio ของเราเป็น niche ในการเขียนบทความเกี่ยวกับน้องหมามากยิ่งขึ้น
การปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพ เราสามารถทำได้โดยยึดหลัก E-A-T จากคำแนะนำของ Google ได้เช่นกัน การเขียนโดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัวประกอบเข้ากับอ้างอิงแหล่งที่มาของเนื้อหา จะทำให้ content ของเรานั้นมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเนื้อหาที่มีคุณภาพนั้น ย่อมเป็นที่ถูกใจของผู้อ่าน รวมไปถึงว่าที่ลูกค้าหรือผู้จ้างงานของเราอีกด้วย…
E-A-T : Expertise, Authoritativeness และ Trustworthiness เป็น 3 หัวข้อหลัก ๆ ที่ Google ได้ออกเอกสารเป็นไกด์ไลน์แก่ webmaster ในปี 2013 เป็นคำแนะนำกว่า 160 หน้า บอกเราว่า “Google มองคุณภาพของเนื้อหาเว็บไซต์อย่างไร!?”
ช่องทางในการสร้างรายได้ของ Digital Content Writer
เมื่อเราสามารถพัฒนาเนื้อหาหรือบทความที่มีคุณภาพได้แล้ว การมองหาช่องทางในการสร้างรายได้ของ digital content writer หรือนักเขียนบทความออนไลน์นั้นก็จะเกิดขึ้นตามมา คำแนะถึงช่องทางในการหารายได้ต่อไปนี้ ไม่ใช่คำแนะนำของนักเขียนแบบศิลปินที่ต้องกรขายหนังสือ หรือเขียนนิยาย อะไรทำนองนั้นนะครับ แต่เป็นคำแนะนำของงานเขียนแบบ “Marketing Content” และ “Editorial Content” นั่นเอง จะมีช่องทางใดบ้างตามมาดูกันเลย!
- สร้างรายได้โดยตรงจากเว็บไซต์ที่เราเป็นนักเขียน : การเขียนบทความลงบนเว็บไซต์เหล่านี้ สามารถสร้างรายได้จากจำนวนคนที่เปิดเข้ามาอ่านบทความของเรา หรือคลิ๊กที่โฆษณาที่ปรากฏในบทความของเราครับ ตัวอย่างเว็บไซต์ Trueid, Blockdit, Readme.me แต่ขั้นต่ำในการจ่ายเงินของแต่ละเว็บไซต์จะต่างกันไป ต้องเข้าไปศึกษาเพิ่มในแต่ละเว็บไซต์ครับ
- สร้างรายได้จาก Affiliate Marketing : บรรดา marketplace เจ้าใหญ่ ๆ ในประเทศไทยอย่าง lazada นั้นมักจะมี Affilitate Program ให้เราได้รับค่าคอมมิสชั่นในการแนะนำสินค้า หากเราเขียนรีวิวสินค้า วางลิงค์ช่องทางการซื้อสินค้าแล้วมีการซื้อเกิดขึ้นจริง เราก็จะได้รับค่าตอบแทนนั่นเองครับ (ไว้จะมาแนะนำให้รู้จักถึงช่องทางต่าง ๆ อีกบทความนะครับ)
- สร้างรายได้จากการวางโฆษณาบนเว็บไซต์ของเราเอง : หากเรามีเว็บไซต์หรือบล็อกเป็นของตัวเองแล้ว เมื่อมีผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวนหนึ่ง เราสามารถเปิดพื้นที่ให้โฆษณาประเภทแบนเนอร์มาแสดงผลบนเว็บไซต์ของเราได้เช่นกันครับ โดยใช้ Ad Network เข้ามาเป็นตัวกลางระหว่าง เรา (Publisher) และผู้ต้องการติดตั้งแบนเนอร์โฆษณา (Advertiser) เช่น Google Adsense เป็นต้น
- รับเขียนบทความประเภท Guest Post : การรับเขียนบทความเหล่านี้ถือเป็นกลยุทธ์แบบหนึ่งของการทำ seo โดยเนื้อหาที่ลูกค้านั้นต้องการจะมีการวาง anchor text เพื่อส่ง backlink ออกไปยังเว็บไซต์ของลูกค้า สามารถเขียนได้บนเว็บไซต์ในข้อ 1 และ 3 ข้างต้นเลยครับ (วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะครับ ว่าวงการเขียนบทความ seo นั้นมีอะไรบ้าง) ช่องทางหาผู้ว่าจ้าง Thaiseoboard
- รับงานเขียนบทความให้ลูกค้า : เมื่อเรามี portfolio ในงานเขียนมากพอ เราก็จะสามารถขายฝีมือของเราเองได้แล้วครับ ช่องทางในการขายงานของนักเขียนฟรีแลนซ์นั้นจะมีแนะนำดังนี้ครับ Fastwork, Freelancebay และ Facebook Group งานเขียนส่วนใหญ่ในช่องทางเหล่านี้ก็จะมีทั้ง marketing และ editorial content เลยครับ
ช่องทางข้างต้นนี้เป็นเพียงไอเดียส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ ในการที่เราจะหาผู้ว่าจ้างหรือลูกค้า ขอให้ทุก ๆ คนที่สนใจอยากจะเป็นนักเขียนออนไลน์ลองเข้าไปศึกษาดูได้ครับ และขอให้โชคดีทุก ๆ คนเลยครับ
ก่อนที่จะจบบทความนี้ ผมก็จะขอแชร์ประสบการณ์ในการค้นหาเหล่านักเขียนฟรีแลนซ์เข้ามาร่วมทีมสักนิดหนึ่ง ว่าช่องทางหลัก ๆ ที่ผมใช้ในการติดต่อเข้าไปนั้นเป็นช่องทางไหนนะครับ… 70% ผมค้นหานักเขียนจากการอ่านบทความบนบล็อกของพวกเค้าแล้วติดต่อไปยัง social media ครับ ส่วนอีก 30% ก็เป็นการประกาศรับในช่องทาง social media ต่าง ๆ ครับ
Tae